อาชญากรรม

ทัวร์เสยพ่วง22ล้อกลับรถก๊าซรั่วผู้โดยสารหนีตายวุ่น

รถบรรทุก 22 ล้อ กลับรถจุดยูเทริน ส่วนพ่วงโผล่กินเลน ทัวร์ขับตามมาเสยท้ายถังก๊าซเอ็นจีวีรั่ว ผู้โดยสารหนีตายวุ่น

เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 ร.ต.ท.วิมล แก้วชู รอง สว.(ป)หัวหน้าป้อมตำรวจทางหลวงท่าแซะ ได้รับแจ้งเหตุรถทัวร์โดยสารปรับอากาศ ชนท้ายรถบรรทุกพ่วง บนถนนสายเพชรเกษม บริเวณจุดกลับรถ กม.ที่ 476 หมู่ 8 ตำบลท่าข้าม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร จึงได้ประสาน ร.ต.อ.ธีรพร คงนวล รอง สว.(สอบสวน)สภ.ท่าแซะ และหน่วยกู้ชีพกู้ภัยสายชล มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ รุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุห่างจากป้อมตำรวจทางหลวงท่าแซะ เพียง 500 เมตร พบรถทัวร์โดยสารปรับอากาศ สีเหลือง ยี่ห้อแดวู 6 ล้อ หมายเลขทะเบียน 10-4508 ชลบุรี หมายเลขข้างรถ 393-6 ระยอง-ดอนสัก จอดอยู่ในเลนขวาขาขึ้น กทม.สภาพรถด้านขวาหน้าคนขับยาวไปถึงล้อหลังตัวถังพังยับฉีกขาดเป็นทางยาว จนเห็นถังก๊าซ NGV จำนวน 4 ถัง ช่วงหน้าโผล่  เจ้าหน้าที่จึงช่วยกันปิดวาล์ว ส่วนอีก 8 ถัง ซึ่งอยู่ช่วงล้อหลัง บริเวณแป๊บข้อต่อวาล์วแตกมีก๊าซรั่วออกมา ไม่สามารถเข้าไปปิดวาล์วแต่ละถังได้ เนื่องจากชิ้นส่วนรถที่ฉีกขาดไปปิดบังไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้เร่งขนย้ายผู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งไม่มีใครได้รับบาดเจ็บลงมาจากรถ  พร้อมประสานรถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลวังไผ่ มาฉีดน้ำเลี้ยง โดยใช้เวลากว่า 40 นาที จึงสามารถปิดระบบวาล์วทุกถังได้อย่างปลอดภัย

ส่วนรถคู่กรณีเป็นรถบรรทุกพ่วง 22 ล้อ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว ตัวหัวลาก หมายเลขทะเบียน 70-2807 ชุมพร ส่วนตัวพ่วงหางเป็นแบบกระบะเปลือย หมายเลขทะเบียน 70-3812 ชุมพร จอดอยู่ไหล่ทาง ขาล่องใต้ สภาพมุมกระบะด้านซ้าย มีร่องรอยการชนไฟท้ายและบังโคลน พังเสียหายเล็กเล็ก

สอบถามนายบุญญาติ พริ้มพราย อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/3 หมู่ที่ 8 ตำบลนาหูกวาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุกพ่วง  ทราบว่า ตนเองกำลังจะกลับรถบริเวณจุดยูเทรินดังกล่าว เพื่อไปส่งสินค้าที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แต่ด้วยรถมีความยาว จึงต้องตีวงให้กว้าง โดยใช้ช่องเลนที่สอง ขณะที่ส่วนหัวเลี้ยวผ่านอยู่ในช่องขวาขาล่องใต้แล้ว แต่ได้มีรถวิ่งมาจึงต้องจอดรอ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวที่รถทัวร์โดยสารปรับอากาศ ขับตามมา คาดจะหลบส่วนหางไม่ทันจึงพุ่งชนท้ายดังกล่าว

ด้านนายศิริศักดิ์ บุญยบูรณ์ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 102 หมู่ที่ 10 ตำบลอาจสามารถ อ เมือง จ.นครพนม คนขับรถทัวร์โดยสารปรับอากาศ กล่าวว่าตนเองได้ขับออกมาดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีผู้โดยสารทั้งหมด จำนวน 27 คน และมีพนักงาน เด็กรถ พร่อมตนตนเองอีก 3 คน มุ่งหน้าเพื่อจะไปส่งผู้โดยสารปลายทางที่ จ.ระยอง โดยใช้ความเร็ว 80 กม./ชม.ตามกฎหมายบังคับ ซึ่งก่อนเกิดเหตุ เป็นโค้งขวา ได้มีรถบรรทุกพ่วงวิ่งช้าอยู่เลนซ้าย ตนเองจึงขับขวาออกมาเพื่อจะแซงรถพ่วง แต่พอหลุดโค้งมาก็เจอส่วนหางของรถบรรทุกพ่วงจอดโผล่กินเลนอยู่ช่องขวาซึ่งเป็นช่องสำหรับเดินรถทางตรง ตนเองไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ทำได้เพียงพยายามหักหลบให้มากที่สุด เพราะมีหัวรถพ่วงอยู่ด้านซ้าย จึงพุ่งชนด้านข้างฉีกขาด  แต่ยังโชคดีที่ไม่ชนจนถึงถังก๊าซ มิเช่นนั้นอาจเกิดโศกนาฏกรรมก๊าซระเบิดได้

ในเบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้ปล่อยให้รถบรรทุกพ่วง ได้เดินไปส่งสินค้าก่อน ส่วนผู้โดยสาร 27 คน ทางบริษัทได้จัดรถทัวร์ปรับอากาศมารับเพื่อเดินทางต่อไปยังปลายทาง แล้วจะเรียกตัวคนขับทั้งสองมาให้ปากคำเพิ่มเติมเพื่อสรุปคดีในครั้งนี้ต่อไป.