ข่าวเด่น ฐานชุมพร

ขมวดปม2คดีบุกสาดน้ำกรดพ่อ-ลูก

คืบหน้าตำรวจขมวดปม 2 คดี ในบ้านเดียวกัน คนร้ายบุกห้องนอนกลางดึกสาดน้ำกรดพ่อสาหัสตาบอด -ลูกบาดเจ็บ คาดเป็นคนใกล้ชิดปมเหตุเชื่อมโยงกัน

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 12 ก.ค.65  นายอำไพ หนูอิ่ม อายุ 79 ปี อยู่บ้านเลขที่ 8 หมู่ 1 ตำบลท่าหิน อ.สวี จ.ชุมพร พร้อมด้วยลูกสาวและเครือญาติเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.สายันต์  จันทมาศ  รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.สวี เพื่อติดตามสอบถามความคืบหน้าเหตุคนร้ายบุกเข้าบ้านพักกลางดึกสาดน้ำกรดใส่ นายนิพนธ์ หนูอิ่ม อายุ 58 ปี จนได้รับบาดเจ็บสาหัสผิวไหม้เกือบทั้งตัว ตาข้างซ้ายบอด และถูกส่งต่อไปรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ กรุงเทพฯ จนถึงขณะนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้กลับบ้านได้  โดยเกิดเหตุตอนกลางดึกของคืนวันที่ 24 พ.ค.65 ที่ผ่านมา

ติดตามรายละเอียด https://www.facebook.com/toyotachumphon

หลังจากนั้นเมื่อเวลา ประมาณ 03.00 น.วันที่ 11 ก.ค.65 ได้เกิดเหตุซ้ำที่บ้านหลังดังกล่าวขึ้นอีก โดยคนร้ายคาดว่าน่าจะเป็นคนเดียวกันบุกเข้าในห้องนอนของ น.ส.วิภาวดี หนูอิ่ม อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวของนายนิพนธ์ ขณะนอนหลับอยู่กับลูกชายวัย 7 ปี และลูกสาววัย 9 ปี ทำให้ น.ส.วิภาวดี ได้รับบาดเจ็บบริเวณแก้มซ้ายและแขน ส่วนลูกชายได้ถูกน้ำกรดกระเด็นใส่แขนลำตัวมีบาดแผลผุพองเล็กน้อยหลังก่อเหตุคนร้ายหลบหนีไปในความมืด

โดยตำรวจได้แจ้งความคืบหน้าของคดีว่า ตอนนี้ต้องสืบหาหลักฐานเพิ่มเติมทั้งพยานบุคคลและพยานแวดล้อม ทั้งสองกรณีที่เกิดขึ้น เพราะเป็นคดีอาญาแผ่นดิน และเป็นคดีที่เกี่ยวโยงกัน ตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะจะเสียรูปคดี สำหรับกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ข้างบ้าน 2 ตัว ตรวจสอบแล้วไม่พบความผิดปกติ ไม่พบมีบุคคลใดเข้าออกช่วงเกิดเหตุ และก่อนหลังเกิดเหตุ และกล้องวงจรปิดหน้าบ้านที่ติดไว้ 1 ตัว ก็ใช้การไม่ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา  และยังไม่พบร่องรอยคนร้ายหรือบุคคลภายนอกบุกรุกเข้าไปภายในบ้านแต่อย่างใด แต่คดีมีความคืบหน้าไปมากแล้วเพียงแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

น.ส.สุพรรณี หนูอิ่ม อายุ 48 ปี ลูกสาว นายนิพนธ์ หนูอิ่ม และเป็นพี่สาวของ น.ส.วิภาวดี หนูอิ่ม อายุ 30 ปี ที่ถูกสาดน้ำกรด กล่าวว่าวันนี้มาฟังความคืบหน้าคดีของพ่อคือนายนิพนธ์ หนูอิ่ม อายุ 58 ปี ถูกคนร้ายบุกบ้านกลางดึกสาดน้ำกรดจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบทั้งตัว ตาข้างซ้ายบอดมองไม่เห็น ฟังตำรวจแจ้งความคืบหน้าของคดีก็ทราบว่ามีความคืบหน้าชัดเจนมากขึ้น ตำรวจบอกอีกว่าไม่กี่วันความจริงก็จะได้เปิดเผยแล้ว  ส่วนกรณี น.ส.วิภาวดี หนูอิ่ม อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นลูกสาว ถูกคนร้ายบุกเข้าไปสาดน้ำกรดในห้องนอนเมื่อกลางดึกวานนี้ที่มีพฤติกรรมคล้ายกันกับคดีของพ่อ ซึ่งตนยังไม่ได้พูดคุยสอบถามสาเหตุอะไรมากเพราะน้องสาวยังพูดอะไรได้ไม่มากเพราะเจ็บปากและคอและไหล่ที่ถูกน้ำกรดไหม้ ตอนนี้ส่งต่อไปรักษาตัวที่โรงพยาบลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์

ผู้สื่อข่าวถามว่าตอนนี้พ่อที่บาดเจ็บรักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพฯได้พูดคุยกันบ้างหรือไม่ น.ส.สุพรรณีกล่าวว่าจากการพูดคุยพ่อเครียดและหนักใจเรื่องน้องสาวมาก ส่วนอาการพ่อตอนนี้ยังพันแผลทั้งตัว ที่ใบหน้ายังเป็นแผลลึก และยังปิดพันใบหน้าและตามองก็ไม่เห็นทั้ง 2 ข้างแล้ว ตอนนี้หมอพยายามทำกายภาพบำบัดและหัดให้เดินยืนนั่งอยู่

ด้าน พ.ต.ท.สายันต์ จันทมาศ รอง ผกก.(สอบสวน)สภ.สวี กล่าวว่าคดีแรกเราได้เก็บดีเอ็นเอจากอุปกรณ์ในที่เกิดเหตุที่คาดว่าเป็นของคนร้ายมาเปรียบเทียบกับของผู้ต้องสงสัยซึ่งส่งไปตรวจก่อนแล้วที่กองพิสูจน์หลักฐาน 9 และตอนนี้ผลออกมาแล้วแต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ส่วนคนร้ายอาจจะเชื่อมโยงกันระหว่างคดีที่ 1 และที่ที่ 2 แต่จะเป็นคนเดียวกันหรือไม่นั้นจะต้องรอพยานหลักฐานอื่น ๆอีกครั้ง

ฮอนด้าชุมพร โทร 077-511488

พ.ต.ท.สายันต์ กล่าวว่าส่วนคดีที่ 2 นั้นวันนี้กองพิสูจน์และตนจะลงไปเก็บหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง และจะส่งดีเอ็นเอที่ตรวจเก็บจากในจุดเกิดเหตุที่คาดว่าเป็นของคนร้ายเพื่อส่งไปตรวจพิสูจน์ซึ่งจะรู้ผลใน 45 วัน นอกจากนั้นยังต้องรอข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อื่น ๆอีก รวมถึงข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของต้องผู้ต้องสงสัยที่อยู่ในจุดบริเวณใกล้เคียงและจุดเกิดเหตุอีก 2-3 ราย ว่ามีความเกี่ยวพันกันหรือไม่อยางไร คงใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งแต่จะเร่งให้เร็วที่สุด ตอนนี้ได้สอบผู้ต้องสงสัยไปแล้ว 2-3 ปาก หาข้อมูลจากญาติเพิ่มเติม เพื่อหามูลเหตุ จะได้ทำคดีไปในครั้งเดียวกัน

จากนั้นช่วงบ่าย พ.ต.ท.สายันต์ จันทมาศ รอง ผกก.(สอบสวน)สภ.สวี พร้อมด้วยตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน ได้ลงพื้นที่เกิดเหตุ บ้านเลขที่ 132 หมู่ 9 ตำบลท่าหิน อ.สวี จ.ชุมพร เพื่อเก็บหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งลายนิ้วมือแฝง ร่อยรอยคนร้ายเพิ่มเติม ตรวจสอบสภาพพื้นที่บ้านที่อยู่อาศัยและกลุ่มบุคคลใกล้เคียง โดยมี นางสาวสุกัญญา เดชาฤทธิ์ พนักงานคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สำนักงานยุติธรรม จ.ชุมพร ร่วมคณะไปด้วยเพื่อแจ้งญาติจากการถกกระทำกณีที่เกิดขึ้นทั้ง 2 คดี เกี่ยวกับสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาตามขั้นตอนของกฎหมาย.