ด่านตรวจพืชตีกลับทุเรียนส่งออกจากล้งที่ จ.ชุมพร กว่า 30 ตัน พบทั้งเพลี้ย ราดำ อ่อน ด้อยคุณภาพ เผยมีลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน สวมสิทธิ์ทุเรียนไทยระบาดหนัก อาจดับอนาคตทุเรียนไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเย็นวันที่ 6 ก.ย.65 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตร นำโดย นายธรรมนูญ แก้วคงคา ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร พร้อมด้วย นายก้องกษิต สุวรรณวิหค ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาเกษตร เขต 7 สุราษฎร์ธานี นายธีระศักดิ์ ยมสวัสดิ์ เกษตรจังหวัดชุมพร และกำลังสารวัตรเกษตร นายตรวจพืช ลงพื้นที่ตรวจสอบ ล้งรับซื้อทุเรียนเพื่อส่งออก หมู่ที่ 7 ตำบลนาขา อ.หลังสวน จ.ชุมพร ซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวจีน หลังจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืช จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร แจ้งว่ามีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ นำทุเรียนหมอนทองที่ไม่ผ่านการตรวจของด่านตรวจพืช ได้ถูกส่งกลับไปยังล้งรับซื้อทุเรียนต้นทางดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ได้ใช้เครื่องมือตัดอุปกรณ์ล็อคตู้คอนเทนเนอร์ เพื่อเปิดแล้วนำเอาทุเรียนหมอนทองที่บรรจุในกล่องกระดาษจำนวนมากมีน้ำหนักรวม 18 ตัน ออกมาตรวจสอบ ซึ่งพบว่าทุเรียนทั้งหมดมีสภาพไม่สมบูรณ์ ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้ขนาดส่งออก เป็นตำหนิ มีทั้งเป็นโรคจากแมลง เพลี้ย และราดำ ไม่ได้มาตรฐานการส่งออกอย่างชัดเจน จึงได้ให้หน่วยงานเกี่ยวข้องอายัดทุเรียนเหล่านั้นไว้ตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมาย
จากนั้นคณะเจ้าหน้าที่ได้เดินทางไปอีกจุด ซึ่งเป็นสาขาเจ้าของล้งเดียวกัน ที่บริเวณสี่แยกเขาปีป หมู่ที่ 6 ตำทุ่งตะไคร อ.ทุ่งตะโก จ.ชุมพร เนื่องจากได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ด่านตรวจพืชเช่นเดียวกันว่า ได้ตีกลับทุเรียนหมอนทองมายังล้งดังกล่าวจำนวน 20 ตัน เมื่อตรวจสอบก็พบว่ามีทุเรียนหมอนทองจำนวนหนึ่ง เป็นโรค มีเพลี้ย เป็นราดำ และทุเรียนอ่อน ปะปนอยู่ด้วย จึงได้ทำการอายัดตรวจสอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับจำนวนทุเรียนหมอนทองที่ส่งออกไปยังประเทศจีนทั้งหมดรวม 38 ตัน ที่ไม่ผ่านด่านตรวจพืช ชายแดน จ.นครพนม และ จ.มุกดาหาร มีมูลค่าส่งออกประมาณ 19 ล้านบาท ถ้าหลุดลอดส่งออกไปยังปลายทางประเทศจีนได้ หากถูกตีจะและสร้างความเสียหายแก่วงการทุเรียนของประเทศไทยเป็นอย่างมาก
ด้านผู้จัดการล้งกล่าวว่า ทุเรียนดังกล่าวรับซื้อนี้มาจากชาวสวนทุเรียนในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และ จ.นครศรีธรรมราช เป็นทุเรียนที่ตกไซส์ ไม่ได้ขนาด ไม่ใช่ทุเรียนเกรด A ส่วนการส่งออกไปขายยังประเทศจีนก็จะมีชิปปิ้งเป็นผู้ดำเนินการ ก่อนส่งออกได้มีการตรวจสอบที่ล้งก่อนอยู่แล้ว แต่ไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะใช้เวลาขั้นตอนในการส่งออกนาน เมื่อทุเรียนไปถึงด่านตรวจพืช เพลี้ยที่มันอาจจะฝังเพาะตัวอยู่ในผลทุเรียนได้เติบโตก็เป็นไปได้
นายธรรมนูญ แก้วคงคา ผอ.สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ขั้นตอนก่อนส่งออกทุเรียน เมื่อถึงด่านตรวจพืชที่ชายแดน จะมีการตรวจสินค้า ก่อนออกใบรับรองไปยังต่างประเทศ และหากสงสัยว่าทุเรียนด้อยคุณภาพ เป็นโรคพืช มีน้ำหนักต่ำกว่าที่แจ้ง ก็จะระงับการส่งออกและตีกลับมายังต้นทาง แต่อย่างไร้ตามทั้งนี้ ก่อนจะส่งทุเรียนออกจากจังหวัดชุมพร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการตรวจสอบก่อนและมีการติดสติกเกอร์รับรองให้ และเมื่อไปถึงด่านตรวจพืช จะมีการตรวจเอกสาร และสินค้าเพื่อรับรองสินค้าก่อนออกจากด่านไปยังต่างประเทศ แต่ถ้าไม่ตรงกันก็จะไม่ออกเอกสารให้ ในด้านกฎหมายนั้นก็ต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป ส่วนจะมีเจ้าหน้าที่ของกระทรวงเกษตรในพื้นที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่นั้นตนคงตอบไม่ได้ ซึ่งคนในพื้นที่ทั้งพ่อค้า และชาวสวน ก็ต้องช่วยกันตรวจสอบดูแลด้วยเช่นกัน
ขณะที่ นายดำรงศักดิ์ สินศักดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ตำบลบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร เจ้าของสวนทุเรียนแปลงใหญ่ ที่เดินทางมาร่วมดูการตรวจสอบในครั้งนี้ด้วยกล่าวว่า ทุเรียนเป็นพืชสุดท้ายที่ผลผลิตราคายังไปได้ดี ถ้าชาวสวนหรือพ่อค้า เห็นแก่ตัว จะเป็นการดับอนาคตของทุเรียนไทย ส่วนทุเรียนที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบในครั้งนี้ ตนพบความผิดปกติเนื่องจากดูคุณภาพของผลผลิตทั้งขนาด ผิวสี ของเปลือกทุเรียนแล้ว ไม่น่าจะใช่ทุเรียนที่ปลูกในประเทศไทย น่าจะเป็นทุเรียนจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีราคาถูกกิโลกรัมเพียง 40-50 บาท เท่านั้น แล้วลักลอบนำเข้ามามาสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทย แต่โชคดีที่ถูกตรวจพบเสียก่อนไม่งั้นจะทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากเจ้าของล้งทุเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นคนไทยมาเปิดรับซื้อทุเรียนในพื้นที่ จ.ชุมพร ได้มีผู้นักธุรกิจซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพล เข้าไปติดต่อให้รับซื้อทุเรียนที่ลักลอบนำเข้าจากประเทศเวียดนาม เพื่อสวมสิทธิ์เป็นทุเรียนไทยในพื้นที่ จ.ชุมพร แต่เจ้าของล้งรายดังกล่าวไม่ยินยอมเพราะกลัวถูกจับ และจะมีปัญหาสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศไทย และไม่กล้าไปร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัด เพราะเกรงกลัวอิทธิพล.