กสม. ชี้การนำพลทหารเกณฑ์ไปรับใช้นายทหารในภารกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการทางทหาร เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดรัฐธรรมนูญ ไม่สอดคล้องกับกติกา ICCPR และ เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน จี้ กระทรวงกลาโหมยกเลิกกฎเสนาบดีฯ ภายใน 90 วัน
วันที่ 27 เมษายน 66 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีอดีตทหารหญิงซึ่งได้รับคำสั่งให้ไปช่วยราชการในคณะกรรมาธิการวุฒิสภาคณะหนึ่ง แต่กลับถูกนำตัวไปช่วยงานที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงรายหนึ่งผู้อยู่ระหว่างช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า โดยระหว่างช่วงเวลา 2 ปีที่ทหารหญิงผู้เสียหายทำหน้าที่ดูแลรับใช้ภายในบ้านเจ้าหน้าที่ตำรวจรายดังกล่าว ได้ถูกทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บรุนแรงหลายครั้ง
ขณะเดียวกัน มีผู้ร้องเรียนอีกรายระบุว่า กฎเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม พ.ศ. 2455 ข้อ 49 – 57 ได้กำหนดเกี่ยวกับทหารรับใช้ประจำตัวนายทหาร โดยให้ทหารชั้นสัญญาบัตรสามารถมีทหารรับใช้ประจำตัวและให้อำนาจลงโทษทหารรับใช้ได้ รวมทั้งยังกำหนดให้ทหารรับใช้มีหน้าที่รับใช้ภรรยาและบุตรในกิจการบ้านเรือนของทหารชั้นสัญญาบัตรดังกล่าวอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการนำทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) ไปรับใช้นายทหารยศสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกฎดังกล่าวอาจขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน จึงขอให้ตรวจสอบ
กสม.ได้ตรวจสอบกรณีอดีตทหารหญิงถูกทำร้ายร่างกายในระหว่างการทำงานอยู่ที่บ้านพักของเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองราชบุรีแล้ว ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดราชบุรีในความผิดฐานค้ามนุษย์ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยอาวุธปืน ความผิดต่อเสรีภาพ ความผิดต่อร่างกาย ความผิดฐานบังคับใช้แรงงาน และความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายทั้งสาหัสและไม่สาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2565 เป็นผลให้ กสม.ต้องยุติการพิจารณาในประเด็นปัญหาเดียวกันนี้ ตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 39 (1) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ให้ กสม. สั่งยุติเรื่อง หากเป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล
สำหรับกรณีปัญหาที่ต้องพิจารณาว่า กฎเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม พ.ศ. 2455 รวมทั้งระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการนำทหารไปรับใช้ มีลักษณะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไม่ กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม ได้ให้การรับรองคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของบุคคลที่จะไม่ถูกจับและควบคุมตัวโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมทั้งการทรมาน ทารุณกรรม การลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือการถูกบังคับให้ตกอยู่ในภาวะเยี่ยงทาสนั้นจะกระทำมิได้
กรณีกฎเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม พ.ศ. 2455 มีบทบัญญัติบางประการที่กำหนดให้นายทหารสัญญาบัตร สามารถมีทหารรับใช้ได้ โดยทหารรับใช้มีหน้าที่ปฏิบัตินายทหารที่ตนไปอยู่ด้วย และรับใช้บุตร ภรรยา ของนายทหารผู้นั้นในกิจการบ้านเรือนทุกประการ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า การปรับปรุงโครงสร้างการบริหารราชการภายใน ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 มีผลให้ไม่มีอัตรากำลังพลตำแหน่ง “ทหารรับใช้” อีกต่อไป แต่มีการจัดกำลังพลตำแหน่ง “พลทหารบริการ” ขึ้นมาเพื่อปฏิบัติงานด้านธุรการ งานสุขาภิบาลและดูแลพื้นที่ในหน่วย รวมทั้งภารกิจอื่นตามแต่ต้นสังกัดอนุญาตเป็นครั้งคราว เช่น การช่วยเหลืองานนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งเกษียณราชการไปแล้ว เป็นต้น โดยที่อาจนำทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นพลทหารบริการในหน่วยด้วย
แม้กระทรวงกลาโหมและแต่ละกองทัพจะไม่ได้นำบทบัญญัตินี้มาใช้บังคับในทางปฏิบัติ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า กฎเสนาบดีดังกล่าวยังเป็นกฎที่มีสภาพบังคับอยู่ โดยเคยปรากฏว่า มีการนำพลทหารบริการ และทหารกองประจำการ (ทหารเกณฑ์) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่พลทหารบริการไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ จนเป็นเหตุให้มีการร้องเรียนขึ้นในหลายกรณี แม้ในบางกรณีจะอยู่ภายใต้ความยินยอมของพลทหารผู้นั้น และบางกรณีจะเป็นไปตามระเบียบหรือขั้นตอนให้ปฏิบัติได้ก็ตาม จึงเห็นว่า กฎเสนาบดีดังกล่าว รวมทั้งระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุญาตให้นำพลทหารบริการไปใช้ในภารกิจอื่นที่มิใช่การปฏิบัติงานด้านธุรการ งานสุขาภิบาลและดูแลสถานที่ของทางราชการ ย่อมถือเป็นช่องว่างที่ให้อำนาจแก่นายทหารระดับสูงที่จะขอตัวทหารชั้นผู้น้อยไปดูแลรับใช้ และสุ่มเสี่ยงที่ผู้มีอำนาจเหนือจะกระทำการที่เป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทหารชั้นผู้น้อย อันขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และไม่สอดคล้องกับกติกา ICCPR จึงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 จึงมีมติให้เสนอแนะมาตรการหรือแนวทางที่เหมาะสมต่อกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา สรุปได้ดังนี้
(1) มาตรการในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน ให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกกฎเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม พ.ศ. 2455 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทหารรับใช้ และยกเลิกระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติเกี่ยวกับการอนุญาตให้นายทหารระดับสูงสามารถขอทหารชั้นผู้น้อยไปรับใช้เป็นการส่วนตัว ทั้งนี้ ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้
(2) มาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ให้กระทรวงยุติธรรมติดตามผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลของอดีตทหารหญิงผู้เสียหายอย่างใกล้ชิด และสนับสนุน ช่วยเหลือ หรืออำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้เสียหายหรือพยานของผู้เสียหายตามหน้าที่และอำนาจ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ต้องหาให้แล้วเสร็จ และเปิดเผยให้สาธารณะทราบ
นอกจากนี้ ให้กองบัญชาการกองทัพไทย และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา พิจารณากำหนดมาตรการหรือหลักเกณฑ์การควบคุมหรือตรวจสอบการปฏิบัติงานของบุคคลที่อยู่ระหว่างการขอตัวช่วยราชการให้เป็นไปตามขอบเขตของงานหรือวัตถุประสงค์ที่ได้ร้องขอไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เร่งรัดสรุปรายงานการตรวจสอบของคณะกรรมการจริยธรรม วุฒิสภา กรณีการบรรจุแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ต้องหาเข้ารับราชการ และการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมาธิการเข้าสู่ที่ประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาโดยเร็ว และเปิดเผยผลการพิจารณาให้สาธารณะทราบด้วย.