สนธิกำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง บุกยึดทวงคืนพื้นที่ สปก. ถูกบริษัทใหญ่ครอบครองโดยมิชอบว่า 6 พันไร่ หลังยืดเยื้อมานาน ชาวบ้านตกงานร้องไห้ระงม บริษัทยื้อฟ้องศาลปกครองขอคุ้มครองไต่สวนฉุกเฉิน
เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 19 มิถุนายน 2561 นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายรัตนะ สวามีชัย รองเลขาธิการ ส.ป.ก. นายธราดล วัชราวิวัฒน์ หน.ผู้ตรวจราชการกรม สปก. พ.ต.อ.วิมล พิทักษ์บูรพา รอง ผบก.ภ.จ.ชุมพร พ.ต.สังคม รองมาลี หัวหน้าชุด รส.บก.ควบคุม มทบ.44 พร้อมนายนิรัตน์ จันทร์สุวรรณ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดชุมพร และกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่สวนปาล์มน้ำมันของ บริษัท สหไทย น้ำมันพืช จำกัด เพื่อติดประกาศยึดคืนพื้นที่เป้าหมายแปลงหมายเลข No 83 เนื้อที่ 6,415 ไร่ ในพื้นที่ตำบลหงส์เจริญ อ.ท่าแซะ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) วันที่ 19 มิถุนายน 2561 เรื่องมาตรการในการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบกฎหมาย มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2559 นั้น
สำนักงานปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก.) จึงได้อาศัยอำนาจในคำสั่งดังกล่าว ออกประกาศ ส.ป.ก.ที่ 8/2559 เรื่องกำหนดพื้นที่เป้าหมายการดำเนินการกับผู้ถือครองที่ดินในเขต ในพื้นปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยมิชอบลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2559 กำหนดให้ที่ดินแปลงหมายเลข No 83 เนื้อที่ประมาณ 6,415 ไร่ อยู่ในท้องที่หมู่ที่ 4,5,9,13 ตำบลหงส์เจริญ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร เป็นพื้นที่เป้าหมายให้ผู้ถือครองยืนคำร้องแสดงสิทธิ์ในที่ดิน ต่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินภายใน 15 วัน
นายธีระ วงษ์เจริญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่าการเข้ายึดคืนพื้นที่แปลงดังกล่าวนั้น สืบเนื่องมาจาก บริษัท สหไทยน้ำมันพืช จำกัด ได้ยืนหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินแปลงหมายเลข No 83 เนื้อที่ประมาณ 6,415 ไร่ โดยอ้างว่าบริษัทได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวจากกรมป่าไม้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522-2552 ตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติเดิมเนื้อที่ 21,562 ไร่ ต่อมาได้รับอนุญาตให้แผ้วถางป่าในพื้นที่ป่าตามมาตรา 4(1) แห่ง พ.รบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 เนื้อที่ 6,083 ไร่ ในปี พ.ศ.2554 และได้รับอนุญาตต่อเนื่องจนถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2559 และแจ้งว่าพื้นที่ดังกล่าวมีภาระผูกพันในขณะส่งมอบให้ ส.ป.ก. เนื่องจากกรมป่าไม้อนุญาตให้บริษัทฯเข้าทำประโยชน์จึงต้องกันพื้นที่คืนกรมป่าไม้ บริษัทฯจึงได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งของ ส.ป.ก.ชุมพร แต่ศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 ไม่รับคำฟ้อง ต่อมาบริษัทฯได้ร้องขอความเป็นธรรมต่อจังหวัดชุมพรและศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพรโดยอ้างว่าบริษัทฯ ได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายจากกรมป่าไม้ เป็นเหตุให้กรมป่าไม้ หารือสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) เพื่อวินิจฉัยพื้นที่แปลงดังกล่าว่าอยู่ในความรักผิดชอบของกรมป่าไม้หรือไม่ ต่อมา สคก.ได้มีคำวินิจฉัยเมื่อเดือนมีนาคม 2560 ว่า ส.ป.ก. สามารถเข้าดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในข้อ 4 แห่งคำสั่งหัวหน้า คสช.
นายธีระกล่าวต่อว่าต่อมา ส.ป.ก.จังหวัดชุมพร ได้ออกคำสั่งให้บริษัทรื้อถอนทำลายอาคารสิ่งปลูกสร้างและออกจากพื้นที่ดังกล่าวหลายครั้งแล้วแต่บริษัทฯยังเพิกเฉยไม่ยอบรับ และล่าสุด ส.ป.ก.ชุมพร ได้มีหนังสือลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2561 โดยให้ระยะเวลาทำการรื้อถอนทำลายออกจากพื้นที่ ภายใน 15 วัน ซึ่งวันนี้ได้ล่วงเลยระยะที่กำหนดมานานโดยบริษัทฯมีพฤติกรรมไม่ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งจงใจฝ่าฝืนและยังปักป้ายแสดงสิทธิ์ในที่ดินโดยอ้างว่าได้รับสิทธิ์ใช้พื้นที่จากกรมป่าไม้ ทั้งที่ได้มีการวินิจฉัยเรื่องอำนาจในที่ดินเป็นที่ยุติตามความเห็นของ สคก.แล้ว ดังนั้นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของทางราชการและเพื่อให้ภาระกิจการนำพื้นที่เป้าหมายไปดำเนินการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรตามนโยบายรัฐบาล จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง เข้ายึดคืนพื้นที่จากบริษัท สหไทยน้ำมันพืช จำกัด แปลง No 83 เนื้อที่ 6,415 ไร่ พร้อมทั้งให้บุคคลที่อยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวทุกคนออกจากพื้นที่ทันที โดยให้เวลาขนย้ายให้เสร็จสิ้นภายในบ่ายวันนี้
ด้าน นายเศรษฐศักดิ์ สุธีธารุวิมล ที่ปรึกษา บริษัท สหไทย น้ำมันพืช จำกัด ได้เปิดว่า ทางบริษัทได้ทำกินอย่างถูกต้อง ถูกกฎหมายทุกอย่างไม่เคยเอาเปรียบสังคมและประเทศชาติ เสียภาษีถูกต้อง เมื่อมาเจอแบบนี้รู้สึกเสียใจ ที่เจ้าหน้าที่กระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายลุซึ่งอำนาจ และก็ไม่มีคำสั่งศาลหรือหมายศาลมาแสดงแต่อย่างใดอ้างเพียง คำสั่ง คสช.เพียงอย่างเดียว ทั้งที่ คำสั่ง คสช.มีแนวการปฏิบัติทำอย่างไรไม่ให้กระทบต่อประชาชนที่ทำมาหากินโดยสุจริต อีกทั้งขณะนี้ยังอยู่ในการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองเพื่อคุ้มครองชั่วคราวซึ่งจะไต่สวนฉุกเฉินในวันที่ 26 มิถุนายน 61 ที่จะถึงนี้ ซึ่งหากศาลมีคำสั่งออกมาอย่างไรทางบริษัทก็น้อมรับทุกอย่าง ซึ่งตนก็ยืนยันจะไม่ขอขยับขยายไปไหนแม้หากจะมีการแจ้งความก็ตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ เจ้าหน้าที่ได้นำป้ายมาติดตั้งและมีคำสั่งให้ยุติกิจการพร้อมให้ออกนอกพื้นที่ ทำให้เหล่าแรงงานรับจ้างในบริษัทที่ทราบข่าวต่างร้องไห้ระงมพร้อมเปิดเผยว่าพวกตนทำงานอยู่ที่บริษัทนี้มานานกว่า 30 ปี จนถือว่าที่นี้คือบ้านมีลูกหลานและเหลนก็เข้ามาทำงานอยู่ที่นี่และอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ด้วย และหากขับไล่ให้ออกพวกตนจะไปอยู่ไหน และจะทำมาหากินอะไรต่อไปเพราะงานขณะนี้ไม่ใช่จะหาทำได้ง่ายพวกตนอายุก็มากกันแล้ว.