บุกตรวจสอบทางลับชายแดนท่าแซะ
ข่าวเด่น ฐานชุมพร

บุกตรวจสอบทางลับชายแดนท่าแซะ

กอ.รมน.ภาค 4 -ผู้ตรวจการแผ่นดิน บุกตรวจสอบทางลับชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอท่าแซะ เจอแคมป์พักโรฮินจา กว่า 400 คน จ่อขนข้ามแดน พบช่องทางธรรมชาติใช้เป็นเส้นทางค้ามนุษย์ ขนแรงงานเถื่อน อาวุธ ยาเสพติด

กอ.รมน.ภาค 4 – ผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติการลับ บุกพิสูจน์ทราบ ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านอำเภอท่าแซะ พบแคมป์ชาวโรฮีนจา กว่า 400 คน จ่อทะลักเข้าไทย ยังเจอใช้เส้นทางธรรมชาติ ลักลอบค้ามนุษย์ ขนแรงงานเถื่อน ยาสพติด อาวุธ บุกรุกยึดป่าสงวนจัดสรรขายให้ขาวบ้าน มีผู้น้ำท้องถิ่นบางคนรู้เห็นร่วมขบวนการ

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา พลตรี อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 และ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 หรือ กอ.รมน.ภาค 4 มอบหมายให้ พันเอก ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าคณะทำงานแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ ทำลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่กองทัพภาคที่ 4 ร่วมบูรณาการกำลังกับ ร้อยตำรวจตรี พงศกร มีพันธุ์ ผู้อำนวยการส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ปฏิบัติการลับพิสูจน์ทราบการบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่ ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร หลังมีชาวบ้านร้องเรียนไปยังสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินว่า มีการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อ-สลุย
กระทั่งวันที่ 18 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปพิสูจน์ทราบปัญหาดังกล่าว กลับพบถนนที่ถูกไถปรับพื้นที่ เป็นถนนดินแดงไปตามแนวภูเขา กระทั่งไปพบมีเพิงพัก มุงหลังคา ในลักษณะแคมป์ และเมื่อเข้าไปภายในพบคนอาศัยอยู่จำนวนมาก และมีกองกำลังติดอาวุธของประเทศเพื่อนบ้าน ดูแลคุ้มกันคนที่อยู่ในแคมป์ดังกล่าว เมื่อสอบถามก็ทราบว่า เป็นชาวโรฮีนจา ที่ถูกนำมาพักไว้ในแคมป์ เพื่อรอลักลอบนำเข้าไปประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ จากนั้นจะถูกส่งต่อไปยังประเทศที่สาม และบางส่วนก็ถูกส่งไปอาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล โดยจากการประเมินคาดว่า มีชาวโรฮีนจา ทั้งเด็ก ผู้ชาย ผู้หญิง อาศัยอยู่ในแคมป์ไม่ต่ำกว่า 300-400 คน ซึ่งจุดนี้ห่างจากเขตแดนประมาณ 4-5 กิโลเมตร
ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียง ที่มีการร้องเรียนเรื่องบุกรุกทรัพยากรธรรมชาติ ก็พบว่า มีคนไทย ร่วมกับชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา นำเครื่องจักรหนัก ไถป่าเปิดถนนจากเขตประเทศไทย ลัดเลาะภูเขาและสวนปาล์มน้ำมัน เข้าไปยังฝั่งประเทศเมียนมา และบางจุดก็มีการปรับพื้นที่ ก่อนที่จะมีการขายให้คนไทยที่มีความสนใจ ในราคา 100 ไร่ จำนวน 40,000 บาท 
ทั้งนี้แหล่งข่าว คณะทำงานชุดนี้ เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียน ก็พบว่า บางพื้นที่ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร มีการกระทำผิดกฎหมาย อาทิ การลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และบริเวณจุดผ่านแดน มีการนำเครื่องจักรหนัก เข้าไปไถปรับพื้นที่ ซึ่งบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อ-สลุย และรุกล้ำเข้าไปในเขตประเทศเมียนมา เพื่อขายที่ดิน​ โดยไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ซึ่งผู้ที่ดำเนินการเป็น กลุ่มนายหน้า ที่นำที่ดินมาขายให้คนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะ ชาวจังหวัดชุมพร และ สุราษฎร์ธานี
ส่วนช่องทางที่มีการข้ามแดน เป็นจุดที่ทางการไทย ไม่ได้เปิดเป็นจุดผ่อนปรนหรือจุดผ่านแดนที่ถูกกฎหมาย แต่เป็นช่องทางธรรมชาติ แต่ก็มีการนำเครื่องจักรหนัก เข้าไปไถปรับดัดแปลงภูมิประเทศจนเปลี่ยนแปลง รถหลายชนิดใช้เส้นทางได้ เพื่อให้เข้าไปถึงที่ดินที่มีการจัดสรรขาย เนื้อที่ 400 ไร่ ราคา 10,000 บาท  
ทั้งนี้แหล่งข่าว คณะทำงานชุดนี้ เปิดเผยว่า จากการเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับการร้องเรียน ก็พบว่า บางพื้นที่ในอำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร มีการกระทำผิดกฎหมาย อาทิ การลักลอบขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย การค้ายาเสพติด การค้าอาวุธสงคราม และบริเวณจุดผ่านแดน มีการนำเครื่องจักรหนัก เข้าไปไถปรับพื้นที่ ซึ่งบางส่วนอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อ-สลุย และรุกล้ำเข้าไปในเขตประเทศเมียนมา เพื่อขายที่ดิน​ โดยไม่มีเอกสารสิทธิใด ๆ ซึ่งผู้ที่ดำเนินการเป็นกลุ่มนายหน้า ที่นำที่ดินมาขายให้คนไทยด้วยกัน โดยเฉพาะ ชาวจังหวัดชุมพร และ สุราษฎร์ธานี

ทั้งนี้คณะทำงานได้ส่งสายข่าว เข้าไปฝังตัวในพื้นที่ ปรากฏว่า ได้ข้อมูลว่า มีผู้นำท้องถิ่นบางคน มีส่วนรู้เห็นเอื้อประโยชน์ให้มีการไถป่า ทำถนน รวมทั้ง ร่วม   กับขบวนการค้ามนุษย์ ในการนำชาวโรฮีนจา จากแคมป์ที่พัก ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ปักปันเขตแดน เข้ามายังฝั่งประเทศไทย ก่อนนำพาผ่านพื้นที่ตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ โดยจะคิดค่าผ่านทางหัวละ 500 บาท และยังพบการกระทำความผิดอีกหลาย โดยเฉพาะแคมป์ที่พักชาวโรฮีนจา ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านในฝั่งไทย ประมาณ 4-5 กิโลเมตร ก็มีอยู่จริง และพบชาวโรฮีนจา 300-400 คน แต่ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 200-300 นาย ส่วนใหญ่ต้องการเดินทางไปประเทศมาเลเซีย และ บางส่วนไปกรุงเทพมหานคร หรือ ปริมณฑล
ทั้งนี้กรณีดังกล่าว มีการขนคน ข้ามชายแดน และลักลอบลำเลียงนำเข้ามาในประเทศไทย ผ่านช่องทางธรรมชาติ ผิดกฎหมาย มีการได้รับผลประโยชน์ ก็ถือว่าเข้าข่ายค้ามนุษย์ ทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งเชื่อได้ว่า มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ระดับท้องถิ่น เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยกับขบวนการนี้ เพราะพบหลักฐาน ที่สายข่าวแจ้งว่า ชาวโรฮีนจาแต่ละคนต้องจ่ายค่าเดินทางเบื้องต้นคนละ 40,000 บาท เมื่อจ่ายครบแล้ว ก็จะถูกนำตัวออกจากแคมป์ที่พัก ผ่านประเทศไทย ไปส่งตามจุดหมาย
ขณะที่เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่คณะทำงานชุดนี้ฯ ได้เข้าไปพิสูจน์ทราบอีกครั้ง ก็ไปพบกับกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่ง ซึ่งบางคนเป็นชาวกะเหรี่ยง และสายข่าวยืนยันว่า หนึ่งในนั้นชื่อ นาย โซ หน่าย เป็นคนคอยดูแลบ้านที่พักของกองกำลัง ซึ่งเป็นที่รวบรวมเสบียง ก่อนส่งไปยังแคมป์ที่พักชาวโรฮีนจา และเมื่อคณะทำงาน ต้องการเข้าไปพิสูจน์ทราบแคมป์ที่พักชาวโรฮีนจาอีกครั้ง ก็ถูกกองกำลังชุดนี้ สกัดไว้ ซึ่งชายคนหนึ่ง ได้ห้ามเจ้าหน้าที่บันทึกภาพ พร้อมกับอ้างว่า อดีตเคยเป็นทหารไทย แต่ปัจจุบันได้ไปทำงานให้ทหาร กองกำลังกะเหรี่ยง อีกทั้งเรื่องแคมป์ที่พักชาวโรฮีนจา ก็ได้รายงาน ให้หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กับกองพลทหารราบที่ 5 รับทราบแล้ว และกองกำลังดังกล่าวก็ติดอาวุธ อีกทั้งมีความชำนาญพื้นที่ ที่มีภูมิประเทศภูเขาสลับซับซ้อน คณะทำงานจึงต้องล่าถอย
ซึ่ง พลตรี อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 ก็ได้ตรวจสอบเรื่องนี้ ไปยังหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 กับกองพลทหารราบที่ 5 ปรากฏว่า การแอบอ้างของกองกำลังกลุ่มนี้ ไม่เป็นความจริง และไม่ใช่ทหารไทย ไม่ใช่สายข่าว หรือ หน่วยข่าว ที่ทำงานให้หน่วยความมั่นคงของไทย.