รองผู้ว่าฯชุมพรลุยเองฉุนขาดหลังตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงไก่พบไม่ได้ขออนุญาตถูกต้องมานานนับ 10 ปี ปล่อยน้ำเสียลงคลองส่งผลกระทบขยายวงกว้างสัตว์น้ำตายเป็นเบือชาวบ้านเดือดร้อน เฉ่งเจ้าหน้าที่รัฐเกียร์ว่างพร้อมสั่งการให้บังคับใช้กฎหมายเอาผิดอย่างเด็ดขาด เพราะเกิดมาแล้วหลายครั้งแล้ว
จากกรณีฟาร์มไก่ในพื้นที่หมู่ 10 ตำบลนากระตาม อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ลักลอบปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำธรรมชาติทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน 2 อำเภอ คือ อ.ท่าแซะ อ.ปะทิว จนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นที่เน่าเหม็นมีสัตว์น้ำและปลาตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านไม่สามารถนำน้ำไปใช้ในการเกษตรและปศุสัตว์ได้ตามข่าวที่เสนอไปแล้วแต่ปรากฏว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังนิ่งเฉย ส่งผลให้น้ำเสียยังคงไปลงสู่ปลายน้ำขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ จนจะเข้าสู่ตำบลนาชะอัง ตำบลบางลึก และโครงการแก้มลิงหนองใหญ่ อ.เมืองชุมพร จนชาวบ้านเริ่มนัดรวมจะออกมาเคลื่อนไหวประท้วงที่ศาลากลาง จ.ชุมพร
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 31 มกราคม 62 นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รอง ผวจ.ชุมพร ได้นำหน่วยงานที่รับผิดชอบประกอบด้วย ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดชุมพร ท้องถิ่นจังหวัด อบต.นากระตาม อ.ท่าแซะ และ อบต.สะพลี อ.ปะทิว เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ปศุสัตว์จังหวัด สาธารณะสุขจังหวัด ประมงจังหวัด ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เข้าตรวจสอบฟาร์มเลี้ยงไก่ “สุรินทร์ฟาร์ม” หมู่ 10 ตำบลนากระตาม อ.ท่าแซะ เพื่อตรวจสอบฟาร์มไก่ดังกล่าวว่ามีการลักลอบปล่อยน้ำเสียลงแหล่งน้ำชุมชนจริงหรือไม่และฟาร์มดังกล่าวประกอบกิจการถูกต้องหรือไม่
โดยมี นายสุรินทร์ จารุศศิธร เจ้าของฟาร์มดังกล่าวออกมาต้อนรับพร้อมชี้แจงกับนายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รอง ผวจ.ชุมพร ว่าได้ประกอบการกิจฟาร์มไก่ไข่มานานหลายสิบปีแล้ว โดยมีโรงเรือนจำนวน 6 โรง มีไก่ไข่ จำนวนกว่า 5 หมื่นตัว และที่ผ่านมาพยายามปรับปรุงแก้ไขฟาร์มให้ดีมีมาตรฐานมาตลอดเพื่อไม่ให้กระทบต่อชุมชน แต่วันที่เกิดเหตุเป็นเพราะท่อส่งน้ำเข้าไปในสวนปาล์มน้ำมันซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้ว บริเวณข้อต่อได้หลุดทำให้น้ำจำนวน 5 แสนลิตร ซึ่งเป็นน้ำเสียได้ไหลทะลักลงลำรางในสวนปาล์มก่อนไหลลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ จนทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้นซึ่งตนเองยอมรับผิดพร้อมจะยอมชดใช้ เยียวยาตามสมควร
หลังจากนั้น รอง ผวจ.ชุมพร พร้อมเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบบริเวณโดยรอบของฟาร์มไก่ซึ่งพบว่าฟาร์มดังกล่าวไม่มีบ่อบำบัดน้ำเสียแต่ใช้พื้นที่ว่างภายในฟาร์มซึ่งเป็นที่ลุ่มต่ำใช้เป็นที่ไหลรวมน้ำเสียจากการฉีดล้างโรงเรือน มีหนอนไต่ยั้วเยียวจำนวนมาก ส่งกลิ่นเหม็นฉุนไปทั่วบริเวณ นอกจากนี้ยังพบว่าโดยรอบจะมีรางระบายน้ำและบ่อดักขนาดท่อ 1.20 เซนติเมตรจากโรงเรือนอยู่ใกล้กับลำรางน้ำธรรมชาติ ซึ่งหากน้ำและสิ่งปฏิกูลจากโรงเรือนเต็มก็จะไหลทะลักลงลำรางดังกล่าวแล้วไหลลงสู่ลำห้วยและคลองธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีน้ำเสียส่วนหนึ่งไหลซึมใต้ดินลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะอีกด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลังจากที่นายสมพรได้นำเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบนานกว่า 1 ชั่วโมง พร้อมบันทึกภาพเก็บน้ำตัวอย่างไว้ตรวจสอบเป็นหลักฐาน จากนั้น รอง ผวจ.ชุมพร ได้เรียกให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมพร้อมกันที่ศาลากลาง จ.ชุมพร โดยนายสมพรแสดงอาการความไม่พอใจต่อเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ปล่อยปละละเลยกับปัญหาที่
เกิดขึ้นจนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ จึงได้ออกคำสั่งให้แต่ละหน่วยงานใช้กฎหมายที่ตนเองมีอำนาจเข้าดำเนินการเอาผิด โดยเฉพาะ อบต.นากระตาม ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เข้าข่ายฐานละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 จึงให้เข้าไปดำเนินการเอาผิดเนื่องจากฟาร์มดังกล่าวไม่ได้ขอใบอนุญาตประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพต่อพนักงานท้องถิ่น โดยให้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ท่าแซะ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
นายสมพรได้กล่าวในที่ประชุมให้แต่ละหน่วยงานทุกฝ่ายจัดการขั้นเด็ดขาดเนื่องจากมีข้อมูลว่าฟาร์มแห่งนี้ได้สร้างปัญหาในลักษณะเดิมซ้ำซากมาแล้วหลายครั้ง และให้ทางปศุสัตว์จังหวัดเข้าดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม เพื่อดำเนินคดีในโทษฐานเคลื่อนย้ายสัตว์ปีกโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนทางสาธารณะสุขจังหวัดให้ดำเนินการเรื่องทำให้เกิดกระทบและสร้างความเดือดร้อนต่อสุขภาพประชาชน และทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมดำเนินการพร้อมประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเพื่อฟ้องร้องทางเพิ่งกับทาฟาร์มไก่แห่งนี้ต่อไป และในเบื้องต้นในวันนี้สั่งการให้ทางฝ่ายปกครองท้องที่เข้าไปแจ้งให้ทางฟาร์มไก่ปิดทุกช่องทางไม่ให้มีการปล่อยน้ำลงแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด
ผู้สื่อข่าวได้รายงานต่อว่าจากกรณีปัญหาดังกล่าวชาวบ้านในพื้นที่หมู่ 10 ตำบลสะพลี อ.ปะทิว พร้อมกับเจ้าหน้าที่ อบต.สะพลี ได้ลงเก็บซากปลาและสัตว์น้ำในลำคลอที่มีน้ำเสียไหลผ่านมายังคลองกรูด เป็นระยะทางกว่า 2 กม.สามารถเก็บซากปลาได้มากกว่า 2 ตัน นำขึ้นมาทำการฝั่งกลบตามจุดต่างๆในพื้นที่ดังกล่าว.