วัดประเดิมแจงรับเผาศพโควิด-19 ไม่มีผลประโยชน์ ส่วนภาพชายห่มจีวรเหลืองส่งอวัยวะเพศให้ประธานอสม.ไม่ใช่พระในวัดแน่นอนเพราะสีผ้าไม่เหมือนกัน ด้านนายอำเภอยอมรับว่าชาวบ้านคาใจไม่บอกกล่าวกันก่อน
จากกรณีที่เกิดปัญหากันระหว่างประธาน อสม. ผู้ใหญ่บ้านและ ชาวบ้าน กับวัดประเดิม หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด อ.เมืองชุมพร จากที่หน่วยงานเกี่ยวข้องได้นำศพเพศหญิงอายุ 56 ปี เสียชีวิตด้วยโรคไวรัสโควิด-19 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 พ.ค.63 น.ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตศพที่ 3 ของจังหวัดชุมพร ได้นำมาเผาที่วัดประเดิม โดยไม่มีการบอกกล่าวให้ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ประธาน อสม.ได้รับรู้ก่อนจะได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งในหมู่บ้านและชุมชน จนมีชายแต่งกายคล้ายพระได้ถ่ายรูปอวัยวะเพศส่งทางไลน์ให้กับประธาน อสม.เพื่อเป็นการข่มขู่ จากกรณีดังกล่าวตามข่าวที่เสนอนั้น
วันที่ 27 พ..63 ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว นายนักรบ ณ ถลาง นายอำเภอเมืองชุมพร กล่าวว่าเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้ดำเนินการนำศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ไปฌาปนกิจที่วัดประเดิม ซึ่งก็อยู่ใกล้กับบ้านผู้เสียชีวิตเพียง 1 กิโลเมตร โดยทางญาติได้ประสงค์ที่ขอนำศพมาเผา ณ วัดแห่งนี้ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของกรมควบคุมโรค แต่ต่อมาชาวบ้านได้ทราบข่าวว่ามีการเผาศพผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จึงได้มีการสอบถามมายังผู้ใหญ่บ้านและประธาน อสม. ซึ่งก็มาทราบภายหลังว่ามีการเผาศพจริง ซึ่งชาวบ้านเพียงแค่ต้องการให้บอกกล่าวกันก่อนเพราะช่วงนี้เริ่มมีฝนตกลงมาแล้ว เนื่องจากชาวบ้านได้เริ่มเตรียมภาชนะเพื่อรองเก็บน้ำฝนไว้ใช้ แต่เมื่อรู้ว่ามีการเผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 น้ำที่กักเก็บไว้แล้วชาวบ้านก็ต้องเททิ้งกันหมดทุกหลัง เนื่องจากไม่สบายใจที่จะนำน้ำมาใช้เพาะกลัวฝุ่นควันจากการเผาจะลงมาปนเปื้อน ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างพูดคุยกันเข้าใจแล้ว
นายอำเภอเมืองชุมพร กล่าวต่อว่าแต่ปัญหาอยู่ที่มีมือดีที่ไม่ประสงค์ดีได้ส่งภาพไม่เหมาะสมมายังไลน์ของ นางชญาฏา ผลคิด ประธาน อสม.หมู่ที่ 2 ตำบลตากแดด โดยภาพดังกล่าวเป็นชายห่มผ้าเหลืองไม่เห็นหน้าถ่ายอวัยวะของตนเองส่งมาให้ และทางผู้ใหญ่บ้านได้พาประธาน อสม.มาพบตน เนื่องจากไม่สบายใจซึ่งตนเองได้ให้ไปแจ้งความ ที่ สภ.เมืองชุมพร เพื่อต้องการให้ทางตำรวจได้ดำเนินการแกะรอย ไอดีไลน์ของผู้ส่งภาพรายนี้ต่อไป
นายอำเภอเมืองชุมพร ในส่วนที่นางชญาฎา ประธาน อสม.ได้พูดถึงวัดอาจจะผลประโยชน์จากการเผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นั้นไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะทางวัดนั้นก็มีหน้าที่ให้บริการประชาชนที่จะเข้ามาทำศาสนกิจ ไม่ว่าจะทำบุญใส่บาตรหรือประกอบพิธีทางศาสนาอื่นๆอยู่แล้ว ซึ่งก็ต้องทำตามมนุษยธรรมขอให้มองมุมกลับกัน หากวันหนึ่งญาติเราต้องป่วยและเสียชีวิตลง แล้วต้องนำไปเผาแล้วถูกปฏิเสธเราก็จะรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ที่ผ่านมาการเผาศพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายที่ 2 ในจังหวัดชุมพรก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเช่นกัน แต่ทางเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขก็ได้ลงไปทำความเข้าใจให้ชาวบ้านจนเข้าใจกันแล้ว ซึ่งตนเองก็อยากเสนอว่าให้บอกกล่าวกันก่อนก็ดีว่าวันนี้จะมีการเผาผู้เสียชีวิตจากโควิด จะได้ให้ชาวบ้านมาร่วมเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายซึ่งก็ถือว่าเป็เรื่องที่ดี
ด้านพระสาโรจน์ พุทธิสาโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดประเดิม กล่าวว่าวันนั้นทางญาติพร้อมเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้เดินทางมาขอนำศพผู้ติดเชื้อโควิดมาเผาที่เมรุของวัด ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะวัดเป็นสถานที่ประกอบกิจทางศาสนาอยู่แล้ว และทางเจ้าหน้าที่ก็ได้อธิบายขั้นตอนกระบวนการต่างๆในการเผาซึ่งตนก็เข้าใจจึงได้อนุญาตให้เผาที่วัดได้
พระสาโรจน์กล่าวว่า การเผาทางเจ้าหน้าที่ได้จัดการศพห่อหุ้มมาอย่างดีแม้ตัวสัปเหร่อเองทางเจ้าหน้าที่ก็ได้ให้สวมใส่ชุดที่ทางเจ้าหน้าที่นำมาเพื่อเป็นการป้องกันเชื้อ และเตาเผาที่วัดก็มีสองเตาเป็นแบบใช้ถ่านก็มีแต่ไม่ได้ใช้แล้ว จึงได้เผากับเตาไฟฟ้าที่ใช้ความร้อนสูงถึง 1,000 องศา
พระสาโรจน์กล่าวต่ออีกว่าส่วนเรื่องผลประโยชน์นั้นทางวัดไม่มีที่ผ่านมาวัดแห่งนี้ไม่เคยเรี่ยไร่ใครมีแต่ผู้มีจิตศรัทธาเท่านั้นที่จะมาทำบุญ จัดหารายได้มาถวาย ส่วนที่มีภาพที่ชายห่มเหลืองเหมือนพระโชว์ของลับส่งให้ประธาน อสม.นั้น อาตมาก็ไม่มั่นใจว่าพระที่ไหนและเป็นพระจริงหรือไม่ เพราะจากการดูจีวรที่ห่มนั้นสีผ้าผิดแตกต่างกับทางวัดโดยสิ้นเชิง อีกทั้งวัดแห่งนี้มีพระภิกษุสงฆ์อยู่ 9 รูป รวมทั้งอาตมาด้วย และทุกรูปค่อนข้างจะมีอายุมากกันแล้ว ส่วนในรูปนั้นน่ายังเป็นคนหนุ่ม
ด้านนายบุญธรรม ทองพลอย สัปเหร่อ ยืนยันว่าเมรุแห่งนี้มีความปลอดภัยสูงเพราะใช้ระบบไฟฟ้าที่มีหัวเผาถึง 4 หัว ทำให้ศพมอดไหม้ในเวลาไม่ถึง 40 นาที และยังมีหัวสำหรับเผาควันอีก 2 หัว ซึ่งหัวเผานี้จะทำลายควันจากการเผาไหม้ให้หมดลงเพียง 2 นาทีเท่านั้น ดังนั้นควันหรือฝุ่นละอองไม่สามารถเล็ดรอดออกไปได้.
