ฐานชุมพร อาชญากรรม เกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม

เจ้าหน้าที่นำแบ็คโฮรื้อถอนต้นปาล์มชาวบ้านขอความเป็นธรรมอย่าทำลายทำกินมานานสุดท้ายยุติด้วยดีทั้งสองฝ่าย

เจ้าหน้าที่ขนแบคโฮรื้อทำลายต้นปาล์มเขตป่าพรุกระชิง พลพวงนโยบายทวงคืนผืนป่ายุค คสช. แต่ชาวบ้าน 36 ครัวเรือน ร่วมร้อยคน เข้าขวางอ้อนวอนขอความเป็นธรรมยืนยันพวกตนหาเช้ากินค่ำต้องหมดอาชีพ เพราะไม่ใช่กลุ่มนายทุน สุดท้ายยุติด้วยดีทั้งสองฝ่าย

เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 11 เมษายน 2565 ที่ป่าพรุกระชิง หมู่ที่ 2 ตำบลปากคลอง อ.ปะทิว จ.ชุมพร นายธวัชชัย หนูวรรณ ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนที่ 3 ( ปะทิว-ชุมพร) สนธิกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอปะทิว ตำรวจ สภ.มาบอำมฤต ตำรวจกองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เจ้าหน้าที่ กอ.รมน.จ.ชุมพร ทหาร มทบ.44 ชุมพร เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษ(ฉลามขาว) สนง.ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี  นำรถแบกโฮขนาดใหญ่เข้าทำพิธีรื้อถอนพืชผลอาสินซึ่งเป็นสวนปาล์มน้ำมันเพื่อฟื้นฟูสภาพป่า  ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 17 พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558  และมาตรา 25 ตาม พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 รวม 16 แปลง เนื้อที่ 826.07 ไร่ บริเวณท้องที่หมู่ที่ 2,3,4,5, ตำบลปากคลอง อ.ปะทิว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าขณะเจ้าหน้าที่นำรถบรรทุกเครื่องจักรเข้าพื้นที่เพื่อรื้อถอนทำลายต้นปาล์ม ได้มีชาวบ้านจำนวน 36 ครอบครัว ร่วม 100 คน ที่เข้าทำกินอยู่ในที่ดินแปลงตรวจยึดดังกล่าวคนละ 10-15 ไร่ ได้รวมตัวเข้าเจรจาขอความเป็นธรรมอ้อนวอนกับเจ้าหน้าที่ขอไม่ให้นำรถแม็คโครลงจากรถบรรทุกเพื่อเข้าไปรื้อถอนทำลายสวนปาล์มของพวกตน โดยมี นายทรงสิทธิ์ พุ่มศรี นายก อบต.ปากคลอง นายอนุรักษ์ เรืองธัมรงค์ อดีตผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 นายสุชาติ ยาดำ อดีตกำนันตำบลปากคลอง และนายลิขิต ศรีชาติ ทนายความ เข้าร่วมเจรจาและยืนยันว่าชาวบ้านทั้ง 36 ครัวเรือนเป็นราษฎรหาเช้ากินคำอยู่ในพื้นที่จริง ไม่ใช้กลุ่มนานทุน โดยได้เข้ามาทำกินตั้งแต่ช่วงปี 2533 หลังเกิดพายุไต้ฝุ่นเกย์ 1 ปี เพื่อปลูกปาล์มเลี้ยงครอบครัวและส่งลูกเรียนหนังสือ หากรื้อถอนทำลายต้นปาล์มจะทำให้ชาวบ้านทั้งหมดนับร้อยคนต้องหมดอาชีพทำกิน อีกทั้งยังมีหนี้สินกับ ธกส.อีกด้วย จะได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก

แกนนำชาวบ้านยังบอกอีกว่าชาวบ้านเข้าทำกินเมื่อปี 2533 ก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์ป่าชายเลนในปี 2543 และต่อในปี 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ได้มีนโยบายทวงคืนผืนป่าจากกลุ่มนายทุนและผู้บุกรุกในที่ดินของรัฐ ทำให้ชาวบ้านยากจนที่ทำกินอยู่ก่อนได้รับความเดือดร้อน ซึ่งขณะนั้นชาวบ้านทั้งหมดไม่กล้าออกมาแสดงตน เพราะเกรงกลัวทหารที่ใช้อำนาจพิเศษเข้ามาในพื้นที่ ส่วนพื้นที่บกรุกที่เป็นของนายทุนจริง ๆ เจ้าหน้าที่จะรื้อถอนทำลายชาวบ้านก็เห็นด้วยและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

ด้าน นายธวัชชัย หนูวรรณ ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ป่าชายเลนที่ 3 ( ปะทิว-ชุมพร) กล่าวกับชาวบ้านว่าตนมาปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีอำนาจตัดสินใจใด ๆ และขอประสานไปยังผู้บังคับบัญชา โดยได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจในเบื้องต้นได้มาในพื้นที่เพื่อพูดคุยกับชาวบ้านทั้งหมด

หลังเดินทางมาถึงพื้นที่ดังกล่าว นายวิชัย สมรูป ผอ.สำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 (สุราษฎร์ธานี) ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับชาวบ้าน โดยบอกว่าการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งเป็นผลพวงมาจากนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช.เมื่อปี 2557 เพื่อทวงคืนผืนป่า  ซึ่งในขณะนั้นไม่มีชาวบ้านที่เข้าไปทำกินได้ออกมาแสดงตน ซึ่งจะด้วยเหตุผลใดตนไม่ทราบ เจ้าหน้าที่ก็ต้องดำเนินการไปตามขั้นตอนจนมาถึงวันนี้

นายวิชัยกล่าวต่อว่าเพื่อหาข้อยุติดังนั้นจะต้องพิสูจน์การเข้ามาถือครองทำกินของชาวบ้านทั้ง 36 ครัวเรือนว่าเป็นชาวบ้านในพื้นที่จริงหรือไม่ โดยจะร่วมกับผู้นำท้องถิ่น แกนนำชาวบ้าน เจ้าหน้าที่รัฐหน่วยงานเกี่ยวข้อง ร่วมกันลงพื้นที่สำรวจชี้จุดยืนยันตามที่ชาวบ้านทั้ง 36 ครัวเรือนกล่าวอ้าง หลังจากได้ความจริงแล้วจะได้นำเสนอไปยังผู้บังคับบัญชา และรัฐมนตรีต่อไป ส่วนผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องว่าไปตามนั้น

นายวิชัยกล่าวว่าสำหรับวันนี้ตนจะขอดำเนินการรื้อถอนทำลายพืชผลในแปลงที่ชาวบ้านยืนยันว่าเป็นของกลุ่มนายทุนและไม่มีใครมายืนยันแสดงตนในพื้นที่ตรวจยึดซึ่งมีอยู่ประมาณกว่า 400 ไร่ไปก่อน เพื่อจะได้เร่งฟื้นฟูสภาพป่าและท้องถิ่นได้ช่วยกันดูแล  โดยชาวบ้านทั้งหมดได้แสดงความยินดีและให้ความร่วมมือที่จะให้เจ้าหน้าที่ในการรื้อถือทำลายต้นปาล์มที่เป็นแปลงของนายทุนและยืนยันจะช่วยกันดูแล ไม่ให้ใครเข้ามาบุกรุกในพื้นที่แห่งนี้อีกต่อไป

ด้าน นางนิภา ศรีจันทร์ อายุ 80 ปี กล่าวว่าตนรู้สึกดีใจมาก ๆที่วันนี้เจ้าหน้าที่จากหน่วยงานเกี่ยวข้องเห็นใจชาวบ้าน ยังไม่รื้อถอนทำลายต้นปาล์มของตนที่มีอยู่ประมาณ 15 ไร่ ที่ได้ทำกินมานานกว่า 20 ปี ตนนอนไม่หลับเลยหลังจากถูก คสช.มายึดและจะมีเจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนทำลายสวนปาล์มของตนในวันนี้ ซึ่งตนคิดไว้ในใจแล้วว่าหากวันนี้เจ้าหน้าที่ทำลายต้นปาล์มของต ทำให้หมดอาชีพตนจะเดินทางไปหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และจะขอตายที่หน้าทำเนียบรัฐบาล จะไม่กลับมาที่ จ.ชุมพร อีกแล้ว ดังนั้นวันนี้ต้องขอขอบคุณผู้เกี่ยวข้องที่ยังมีความเมตตาเห็นใจพวกตน.